วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

การลงวิธีลง Windows 10 แบบละเอียด

ในการลง Windows 10 USB หรือจะลงแบบ DVD วิธีการลง Windows จะเหมือนกัน สำหรับคนที่กำลังจะหาทางในการลง Windows 10 โดยจะทำการลงเอง โดยไม่ต้องเพิ่งช่างให้เสียตังโดยเปล่าประโยชน์ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการลง Windows 10 ในการติดตั้ง Windows สมัยก่อนที่เป็นเรื่องยากมากๆสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ทางด้านไอที แต่เดี๋ยวสมัยนี้เราสามารถลง Windows กันเองได้แล้ว ไม่ยากด้วย ถ้าคุณอ่านบทความนี้จบ คุณก็สามารถทำการลง Windows 10 ได้อย่างสบายใจ สำหรับใครที่ไม่เคยลง Windows 10 วันนี้ผมจะมาสอนวิธีการลง Windows 10 แบบละเอียดที่สุด ซึ่งในการลง Windows 10 ก็จะคล้ายกับการลง Windows 8.1 หรือลง Windows 7  
ขั้นตอนการเตรียมการก่อนทำการลง Windows 10
1. เตรียมคอมพิวเตอร์ / PC / Laptop ให้พร้อม
2. เตรียม Drive ต่างๆกรณีลงเพิ่ม เช่น Drive การด์จอ , Wireless , LAB , Sound โดยให้ทำการดาวน์โหลดตามยี่ห้อ Notebook ของแต่ละท่านไว้ โดยสามารถเข้าไปแต่ละ website ยี่ห้อของคอมพิวเตอร์ตัวเอง อาทิเช่น Dell ก็ให้เข้าไปที่ WebSite Dell จากนั้นก็ให้หารุ่นของตัวเองและดาวน์โหลด Drive มาเก็บไว้
3. เตรียมแผ่น DVD Windows 10 ในการติดตั้ง
สำหรับคนที่ต้องการลง Windows 10 USB : การตั้งไฟล์ Boot Windows 10 USB

การติดตั้ง Windows 10

ทำการเอาแผ่น DVD Windows 10 หรือ USB Flash Drive เสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์
สามารถตั้ง Boot ได้จากการกดปุ่ม “delete” บน keyboard ของเรา หรือทำการกด F2 / F10 / F12  เพื่อทำการตั้งค่าการ Boot ใน BIOS ได้ โดยการเข้า BIOS นั้นให้ดูตอน Boot ว่าคอมพิวเตอร์จะให้กดปุ่มอะไรบน Keyboard โดยเมื่อเข้าใน BIOS ให้หาเมนู Boot จากนั้นให้ปรับว่าเราจะให้ USB หรือ DVD เป็นการ Boot อันดับแรก
โดยถ้าลงแบบใช้แผ่น Windows 10 ก็ให้เลือก Boot DVD เป็นอันดับแรก แต่ถ้าลงแบบ USB ก็ให้ทำการเลือก Boot แบบ USB เป็นอันดับแรก และทำการ Save ค่า คอมพิวเตอร์จะ Restart ตัวเอง
สำหรับคนที่ไม่อยากเข้า BIOS ให้เราทำการกด F12 / F10 บน Keyboard แต่ละคอมพิวเตอร์ไม่เหมือนกัน เพื่อเข้าไปปรับที่ Boot Menu ในการ Boot ได้เลย 
Tab : Boot  “ภาพด้านล่างเป็นการปรับ BIOS โดยถ้าต้องการให้ ให้ Boot USB ก็ให้ทำการเลื่อน USB ขึ้นมาบนสุด แต่ถ้าจะให้ CD/DVD Boot ก็ให้เลื่อนให้ขึ้นมาบนสุด โดยการกด +/- ในการ เลื่อนขึ้นลง ”
SET BIOS COMPUTER
สำหรับ Windows 10 แนะนำให้ปรับ Mode  SATA Operation : ให้เป็น AHCI 
AHCI (Advanced Host Controller Interface ) this is a hardware mechanism that allows the software to communicate with Serial ATA (SATA) devices.
โดย AHCI เป็น ฮาร์ดแวร์ที่ควบคุมกลไกการทำงาน ระหว่างซอฟต์แวร์กับ SATA
AHCI Mode HDD
1. จากนั้นถ้าเห็นข้อความว่า “Press any key to boot CD or DVD” ให้ทำการกด Enter
2.  จากนั้นจะเข้าสู่หน้า ตอนรับของ Windows 10
install-Windows 10-1
3. ในหน้า Windows Setup
Language to install : เลือก English (United States)
Time and currency format : เลือก English (United States)
Keyboard or input Method : เลือก US
install-Windows 10-2
4. กด Install Now เพื่อทำการติดตั้ง
install-Windows 10-3
5. เลือก (/) I accept the license terms  และทำการกด Next
install-Windows 10-4
6.  ให้ทำการเลือก Custom : Install Windows only (Advance)
Advertisements
install-Windows 10-5
7.  สำคัญ ตรงนี้มี 2 กรณี
กรณีซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่
สำหรับใครที่ซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่และยังไม่ได้ทำการสร้างพาติชั่นของ Windows ให้ทำการกด New
install-Windows 10-6
จากนั้นให้ใส่ขนาดของพื้นที่ Drive C แนะนำให้ใส่ 102400 MB หรือเท่ากับ 100 GB นั้นเอง และทำการกด Apply และทำการสร้าง Drive D โดยใช้พื้นที่ที่เหลือ และทำการคลิกไปที่ Drive ที่เราแบ่งไว้ให้สำหรับ OS และทำการกด  Next
install-Windows 10-7
กรณีเคยลง Windows อยู่แล้ว แต่จะลง Windows 10 เพื่อใช้ใหม่
ให้ทำการกดไปที่ drive ของ OS ที่เราเคยลง Windows มาแล้ว จากนั้นกด drive option (Advance) และทำการกด Format   > ทำการยืนยันโดยกด OK เพื่อเป็นการ format Drive C และทำการเลือกไปที่ Drive ที่เรา format เมื่อกี้และทำการกด OK (ให้ดูดีๆนะครับ ว่า Drive ไหนเป็น Drive C ของเรา อาจจะดูจากขนาดของพื้นที่ Harddisk หรือจะทำ Label ของ Disk ไว้ก่อนการ Format เราจะได้ Format ไม่ผิด)
install-Windows 10-8
8. รอทำการติดตั้งของ Windows 10
install-Windows 10-9
9. หลังจากคอมพิวเตอร์ลง Windows 10 เสร็จแล้ว คอมพิวเตอร์จะทำการ Restart ตัวเองอัตโนมัติ และเข้าสู่หน้า Settings  (สำหรับคนที่ใช้ USB ในการติดตั้งให้ดึง USB ออกได้เลยหลังจาก Restart ในข้อ8)
ทำการกรอกใส่ License Windows 10 ของเราให้ตรงกับ Editions ที่เราได้ทำการลง Windows 10
ถ้ายังไม่มี Key ให้กด Do this later
install-Windows10-8
10. ให้ทำการเลือก Use Express Settings
install-Windows10-9
11. สำหรับถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ลงที่บ้านให้ทำการเลือก I own it
install-Windows10-10
10. สำหรับใครที่ต้องการ Sign in ด้วย Microsoft Account เช่น  ABC@hotmail.com หรือ ABC@outlook.com ก็ให้ทำการใส่ Email ลงไปในช่องว่าง
แต่วันนี้ผมจะมาสอนวิธีการสร้าง Account Local  โดยให้กด Skip this step ไปก่อน
install-Windows10-11
11. เลือก Your Account
User name : ใส่ชื่อที่ต้องการ
Password : ใส่ Password ที่เราต้องการ
Reenter Password : ยืนยัน Password อีกครั้ง
Password hint : ใส่ Password อันนี้กรณีลืม Password ด้านบน
install-Windows10-12

14. จากนั้นเราก็จะได้หน้า Windows 10 พร้อมใช้งานแล้วครับ
Windows10-Start Menu

15. ทำการลง Drives ที่เราเราได้ทำการเตรียมเอาไว้ อาทิเช่น Drive LAN , Wireless , VGA โดยลงให้ครบนะครับ ไม่งั้นจะไม่สามารถใช้ Network ในการออกอินเตอร์เน็ทได้นั่นเอง
ง่ายไหมครับกับการลง Windows 10 ซึ่งคุณสามารถติดตามข่าวสารหรือทิปต่างๆของ Windows 10 ที่ได้นี้ครับ ขอให้สนุกกับการใช้ Windows 10 แต่สำหรับใครที่เคยลง Windows 8 หรือ Windows 7 มาแล้ว การลง Windows 10 ก็คงไม่ยากเกินความสามารถครับ อย่าลืมทำการติดตั้ง Driver บางตัวด้วยนะครับ อาทิเช่น การด์จอ , เสียง , Wireless , LAN

วิธี Activate Windows 10 

     กว่าบทความสำหรับ Activate Windows 10 ฉบับไส้แห้งจะออกมาได้เล่นเอาซะหลายท่านคงหาวินโดว์แท้กันมาใช้กันหมดแล้ว  แหะ ๆ ๆ ยังไงก็ให้อภัยเด็กตาน้ำตาลน้ำตาลคนนี้ด้วยนะครับ แต่ก็เพราะว่าหลังๆ ตัวแอคติเวทวินโดว์มันชอบมีของแถมกันอยู่เรื่อยเลยครับ  ก็เลยเสาะหากันนานหน่อย (จริงๆแก้ตัวเพราะเอาเวลาไปทำโปรเจคไฟนอลน่ะสิ 555+)


     การแอคติเวทวินโดว์เท่าที่ผมรู้จักก็มีอยู่สองถึงสามวิธีด้วยกันครับ  แบ่งกันง่ายๆสำหรับคนที่มีอินเตอร์เน็ตและไม่มีอินเตอร์เน็ต  แต่ผมจะไม่แบ่งแบบนั้นดีกว่าก็เพราะผมมันไส้แห้งนี่นาก็เลยแบ่งเป็นสองแบบ  คือ (1) สำหรับคนที่มีวินโดว์ของแท้ และ (2) สำหรับคนที่อยากทดลองใช้วินโดว์เสมือนของแท้

การแอคติเวทวินโดวส์ 10 สำหรับคนที่มีวินโดว์แท้

     สำหรับหลายท่านที่มีวินโดว์ 10 ของแท้ไว้ในครอบครอง อาจจะต้องกรอกคีย์วินโดว์ตั้งแต่ตอนติดตั้งวินโดว์และหลังจากติดตั้งวินโดว์เสร็จแล้วหากมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต  วินโดว์จะทำการแอคติเวทวินโดว์ให้เราเองเลยครับ  ส่วนตัวของผมเป็นแบบโวลลุมไลเซนส์ (Volume License) ที่ติดมากับเครื่องตั้งแต่ตอนซื้อมา  ตอนที่ลงวินโดวส์ก็เลยติดตั้งจากพาร์ทิชั่นที่ฝั่งอยู่ยนเครื่องครับ  แต่ผมก็สงเกตว่าทุกครั้งที่ลงวินโดวส์ใหม่วินโดวส์จะแสดงหมายเลข ฺBuild ที่มุมขวาล่างที่บอกผมว่าวินโดวส์เครื่องนี้เป็นแบบทดลองใช้อยู่นะ  แต่หลังจากเล่นเน็ตไปซักพักลายน้ำมันก็จะหายไปเองครับ

การแอคติเวทวินโดวส์ 10 สำหรับคนที่อยากทดลองใช้วินโดว์เสมือนของแท้

     ตัวแอคติเวทวินโดวส์ขวัญใจประชาชีตั้งแต่ยุคมันโดวส์ 8 เข้ามามีบทบาทกับคอมพิวเตอร์ของเราก็น่าจะหนีไม่พ้น KMSpico ที่มีความสามารถทั้งการแอคติเวทวินโดว์และออฟฟิศไปด้วยในตัว  แต่พอเจ้า KMSpico เกิดฮิตขึ้นมาก็มีคนทำ KMSpico ออกมาเยอะแยะว่อนเต็มเน็ตเลย ซึ่งมาพร้อมกับของแถมเช่นไวรัสอย่างไบตู่ก็มี  เศร้าใจเลยครับกว่าจะหาตัวที่เป็นของแท้ๆเจอ  ก่อนอื่นต้องต้องดาวน์โหลด KMSpico มาไว้ในเครื่องเราก่อน  ซึ่งผมก็เตรียมไว้ให้ดาวน์โหลดกันแล้วในบล็อกนี้ครับ แหะ ๆ ๆ

การทำให้วินโดว์เป็นของแท้ ด้วย KMSpico สำหรับ Activate Windows 10


     เพื่อป้องกัน mediafire มองว่าไฟล์เป็นไวรัสต้องขออนุญาตเข้ารหัสไฟล์ไว้นะครับ ส่วนรหัสก็ง่ายๆครับ999999999 หรือเก้าเก้าตัว โหะ โหะ โหะ
    หลังจากที่ดาวน์โหลดมาแล้วก็ทำการแยกไฟล์ลงเก็บไว้ในเครื่องของเราเลยครับ ผมทำการเก็บไฟล์ไว้ในรูปแบบของ .7z (7-Zip) ซึ่งที่ผมใส่ไว้ในไฟล์ที่เตรียมไว้มีแบบที่ต้องติดตั้งลงไปในเครื่องและแบบพกพา  ซึ่งผมขออธิบายความแตกต่างของสองตัวนี้ในตอนท้ายนะครับ

เมื่อเราแยกไฟล์ออกมาแล้วก็ทำการดับเบิ้ลคลิกที่ไฟล์ "001 - KMSpico_Setup.exe" จากนั้นจะมีคำถามจากวินโดวส์ว่าจะให้รันโปรแกรมตัวนี้ไหม  เราก็จำใจต้องตอบ "Yes" เพื่อตกลงครับ

เมื่อเราตอบตกลงแล้วก็จะมีหน้าตาของโปรแกรมติดตั้งแบบนี้  ให้เราคลิกที่ "Next >"  ผ่านไปได้เลยจ้า

แล้วก็จะมายังหน้าหน้าที่บอกอธิบายเกี่ยวกับข้อตกลงการใช้การโปรแกรมตัวนี้  และอีกคราวที่เราต้องจำใจยอมรับไปโดยการเลือกจุดไข่ปลาที่ช่อง "I accept the agreement" แล้วคลิก "Next" เพื่อไปยังขั้นตอนถัดไปครับ

หน้านี้เป็นหน้าสำหรับเลือกโฟลเดอร์สำหรับติดตั้งเจ้า KMSpico โดยผมก็เก็บไว้ในโปรแกรมไฟล์ตามค่าเดิมนั่นละครับท่านผู้ชม  จากนั้นก็กด "Next >" ผ่านหน้านี้ไป

หน้านี้ถามว่า จะตั้งชื่อโปรแกรมนี้ในสตาร์ทเมนูว่าอะไร  ผมก็ก็ไม่ได้เปลี่ยนค่าอะไรครับแล้วก็กด "Next >" ผ่านไปเช่นเคย  แต่ถ้าใครไม่อยากให้ KMSpico โผล่ในสตาร์ทเมนูก็ติ๊กเครื่องหมายถูกในช่อง "Don't create a start Menu folder" แล้วก็คลิก "Next >" เพื่อติดตั้ง KMSpico ลงเครื่องเราได้เลยครับ

เริ่มพิธีแต่ง KMSpico เข้าบ้านมายังวิญโดวส์ 10 ของเราแล้วครับ  อีกไม่เกินอึดใจเท่านั้น

เสร็จแล้วหน้าติดตั้ง KMSpico ก็จะหายไปเองเลยครับ  แล้วกลับมาหน้าเดิมที่คุ้นเคย

     เสร็จแล้วคร๊าบบบบบ  หลังจากนี้เราก็ทำการอัปเดตวินโดวส์ 10 ได้เรื่อยๆเลยนะครับโดยถ้าเราใช้งานแบบที่ติดตั้งบนเครื่องตัว KMS Activator จะทำการแอคติเวทวินโดวส์ 10 ให้เราอัตโนมัติเลยครับ  ส่วนถ้าใครใช้ KMS Activator Portable เราจำเป็นจะต้องกลับมาแอคติเวตวินโดวส์ 10 อีกครั้งตามแต่ความชอบเลย  ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการใช้งานวินโดวส์นะครับ  และถ้าเมื่อไหร่ที่วินโดวส์ที่เราใช้ฝึกฝนฝีมือของเราให้สามารถสร้างเงินให้กับเราได้พอที่จะสามารถทำให้เราครอบครองวินโดวส์แท้มาใช้งานก็จัดมาเป็นเจ้าของกันเลยนะครับ  ของแท้มันดีจริงๆดั่งรักแท้นั่นละครับท่านผู้ชม

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

iPhone 7 (ไอโฟน 7) และ iPhone 7 Plus สรุปสเปก ราคา : เหลือเชื่อ! iPhone 6S ชนะ iPhone 7 ในผลการทดสอบเปิดเครื่อง (Boot Speed Test)


นับว่าเป็นคลิปวีดีโอการทดสอบที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว เมื่อทางทีมงาน iclarified ได้ทดสอบความเร็วในการบูตเครื่อง (Boot Speed Test) ระหว่าง iPhone 7, iPhone 7 Plus, iPhone 6S และ iPhone 6S Plusซึ่งได้ผลการทดสอบที่ค่อนข้างเหลือเชื่อมากเลยทีเดียว
โดย iPhone ทั้ง 4 รุ่นนั้น เป็นรุ่นที่มาพร้อมกับหน่วยความจำภายในตัวเครื่องขนาด 128 GB และทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 10.0.1 เวอร์ชันล่าสุด พร้อมกับตั้งค่าการใช้งานเหมือนกัน ซึ่งผลปรากฏว่า iPhone 6S และ iPhone 6S Plus กลับใช้เวลาในการบูตเครื่องเร็วกว่า iPhone 7 ราว ๆ 13 วินาที โดย iPhone 6S บูตเร็วที่สุด ใช้เวลา 13.95 วินาที ตามมาด้วย iPhone 6S Plus, iPhone 7 Plus และ iPhone 7 ใช้เวลา 15.58 วินาที, 26.25 วินาที และ 27.62 วินาที ตามลำดับ
สำหรับสาเหตุที่ทำให้ iPhone 6S สามารถบูตเครื่องได้เร็วกว่า iPhone 7 นั้น ในตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่า เกิดจากอะไร แต่เบื้องต้นคาดว่า น่าจะเกิดจากการใช้ฮาร์ดแวร์ที่ต่างกัน ทำให้กระบวนการในการเตรียมทรัพยากรใช้เวลามากกว่า ส่วน iPhone 7 Plus บูตเครื่องเร็วกว่า iPhone 7 น่าจะเป็นเพราะตัวเครื่องมาพร้อมกับ RAM ขนาด 3 GB ในขณะที่ iPhone 7 มาพร้อมกับ RAM ขนาด 2 GB เท่านั้น
อย่างไรก็ดี การที่ตัวเครื่องบูตได้เร็วกว่านั้น ไม่ได้หมายความว่า จะประมวลผลได้เร็วกว่า - iclarified.com


IHS เผย ต้นทุนผลิตชิ้นส่วนใน iPhone 7 อยู่ที่ประมาณ 7,600 บาทเท่านั้น!

นาทีนี้สมาร์ทโฟนเรือธงที่ถูกพูดถึงบ่อยที่สุดคงหนีไม่พ้น iPhone 7 ที่แม้จะยังไม่ได้วางจำหน่ายในประเทศไทยแต่ก็มีคนที่ยอมจ่ายเงินหลายหมื่นบาทเพื่อซื้อเครื่องหิ้วมาครอบครองก่อนใคร ส่วนในประเทศอื่นๆ ก็ขายหมดอย่างรวดเร็วแม้จะมีราคาค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นๆ ก็ตาม แต่เคยสงสัยกันไหมว่า ต้นทุนส่วนประกอบของ iPhone 7 นั้น มีมูลค่าเท่าไหร่กันแน่?

IHS บริษัทด้านการวิเคราะห์ข้อมูลระดับโลก ได้นำ iPhone 7 รุ่นความจุ 32 GB มาชำแหละและคำนวณค่าใช้จ่ายในการผลิตชิ้นส่วนแต่ละชิ้น พบว่ามันมีราคาเพียง 220 ดอลลาร์ หรือราวๆ 7,600 บาทเท่านั้น ในขณะที่ราคาเต็มใน US Store อยู่ที่ 649 ดอลลาร์ หรือราว 22,500 บาท ซึ่งสูงกว่าต้นทุนถึง 3 เท่า
IHS ระบุว่า ส่วนประกอบต่างๆ ใน iPhone 7 มีราคาสูงกว่าใน iPhone 6s ประมาณ 36 ดอลลาร์ (1,250 บาท) ซึ่งส่วนต่างนี้มาจากเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาเช่น Taptic Engine ภายใต้ปุ่ม Home, โมดูลกล้องแบบใหม่ และความจุภายในที่มากขึ้นกว่าเดิม


Apple A10 Processor
สำหรับส่วนประกอบสำคัญอื่นๆ เช่นชิปประมวลผล A10 มีต้นทุนการผลิต 26 ดอลลาร์ (904 บาท) โมดูลกล้องด้านหน้าและด้านหลังรวมกันมีมูลค่าไม่ถึง 20 ดอลลาร์ ( 695 บาท) ส่วนที่แพงที่สุดคือแผงหน้าจอแสดงผล IPS LCD ขนาด 4.7 นิ้วซึ่งมีมูลค่า 39 ดอลลาร์ (1,356 บาท) แต่ในขณะเดียวกันแบตเตอรี่กลับราคาถูกอย่างเหลือเชื่อ โดยมีมูลค่าเพียง 2.5 ดอลลาร์ (87 บาท) เท่านั้น ส่วนราคาของหน่วยความจำแฟลชขนาด 32 GB และ RAM 2 GB รวมแล้วเป็น 16.40 ดอลลาร์ (570 บาท) เมื่อเพิ่มความจุเป็น 128 GB ก็จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ Apple กลับตั้งราคาขายต่างกันถึง 100 ดอลลาร์ ถึงกระนั้นก็ตามการเพิ่มหน่วยความจำเป็น 2 เท่าในทุกรุ่น (32/128/256 GB) ก็ทำให้กำไรตรงส่วนนี้หายไปบ้างเช่นกัน แม้ว่าราคาหน่วยความจำแฟลช NAND ในท้องตลาดจะถูกลงแล้วก็ตาม


Taptic Engine
งานวิจัยนี้ยังไม่ได้วิเคราะห์มูลค่าวัสดุของ iPhone 7 Plus ซึ่งจะมีต้นทุนสูงกว่านี้อย่างไม่ต้องสงสัยด้วยหน้าจอที่ใหญ่ขึ้นและโมดูลกล้องคู่ที่มีความซับซ้อนกว่า แต่จากการคำนวณเบื้องต้นคาดว่ามูลค่าการผลิตของโมดูลกล้องคู่จะอยู่ที่ประมาณ 40 ดอลลาร์ (1,390 บาท)
แม้ทาง IHS จะคำนวณราคาของส่วนประกอบต่างๆใน iPhone 7 ออกมาที่ 220 ดอลลาร์ แต่สำหรับ Apple แล้วยังมีค่าใช้จ่ายในด้านอื่นๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบรรจุภัณฑ์ การขนส่ง ภาษี และค่าใช้จ่ายด้านการตลาด นอกจากนี้ยังมีค่าพัฒนาซอฟต์แวร์ ค่าจ้างพนักงาน และอื่นๆ อีกหลายอย่าง ซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายจริงในการผลิต iPhone 7 ถีบตัวสูงขึ้นอีก แต่แม้ว่าจะนำค่าใช้จ่ายทุกอย่างมารวมกันแล้ว Apple ก็ยังคงทำกำไรได้ถึง 250 ดอลลาร์ (8,690 บาท) ต่อการขาย iPhone 7 1 เครื่องอยู่ดี
ไม่ว่าต้นทุนที่แท้จริงของ iPhone 7 จะเป็นอย่างไร แต่ Apple ก็ได้เปิดตัว iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ลงสู่ตลาดได้อย่างสวยงามและยังขายดิบขายดีเช่นเดิม แถมยังฉุดเอาหุ้น APPL สูงตามขึ้นมา อันเป็นผลมาจากกระแสตอบรับของผู้ใช้ที่มีต่อเรือธงรุ่นใหม่ดีกว่าที่คาดไว้นั่นเอง สำหรับต้นทุนการผลิตชิ้นส่วนแต่ละชิ้นโดยละเอียด สามารถดูได้ตามตารางด้านล่างครับ - 9 to 5 mac

คลิปแกะกล่อง iPhone 7 มาแล้ว! พร้อมเปรียบเทียบ สีดำด้าน Black และสีดำเงา Jet Black แตกต่างกันอย่างไร ? ปุ่ม Home แบบใหม่ ใช้งานอย่างไร ? ชมคลิป


วางจำหน่ายรอบแรกอย่างเป็นทางการแล้ว เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2016 ที่ผ่านมา สำหรับ iPhone 7 กับiPhone 7 Plus และก็เริ่มมีคลิป iPhone 7 unboxing เผยออกมาให้ชมกันอย่างต่อเนื่อง โดยคลิปที่ทีมงานหยิบยกให้ชมกันในวันนี้ เป็นคลิปจาก MKBHD ที่นอกจากจะเปรียบเทียบตัวเครื่อง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สีดำ Black (Matte Black) กับสีดำเงา Jet Black แล้ว ยังเผยให้เห็นการใช้งานปุ่ม Home แบบใหม่ที่ใช้ระบบ Taptic Engine อีกด้วย


เริ่มกันที่แพ็กเกจตัวเครืองกันก่อน แม้จะเป็นตัวเครื่องสีดำเหมือนกันทั้ง 2 รุ่น แต่กล่องแพ็กเกจแตกต่างกัน โดยสีดำ Black จะเป็นกล่องสีขาว ส่วนสีดำเงา Jet Black จะเป็นกล่องสีดำ


เปิดกล่อง จะเจอคู่มือการใช้งานก่อน


และตัวเครื่อง iPhone 7 สีดำเงา Jet Black


สำหรับหูฟังแบบ Lightning นั้น จะไม่ถูกบรรจุอยู่ในกล่องพลาสติกแบบเดียวกับ iPhone 6S


พลิกมาอีกด้าน จะเป็นตัวแปลงพอร์ต Lightning to 3.5 mm. สำหรับใช้กับหูฟังแบบ 3.5 มิลลิเมตร ถ้าหากทำตัวแปลงนี้หาย บน Apple Store ก็มีวางจำหน่ายเช่นกัน


ถัดมาเป็นสาย Lightning สำหรับชาร์จแบตเตอรี่ และ Adapter สำหรับชาร์จไฟ


สำหรับอุปกรณ์บน iPhone 7 Plus สีดำ Black นั้น เหมือนกับของ iPhone 7 ประกอบด้วย คู่มือการใช้งาน, หูฟัง EarPods แบบ Lightning, ตัวแปลงพอร์ต Lightning to 3.5 mm. และ Adapter สำหรับชาร์จไฟ


เปรียบเทียบตัวเครื่องระหว่าง สีดำ Black (ซ้าย) กับ สีดำเงา Jet Black (ขวา)


จากนั้น ก็เปิดเครื่องและตั้งค่าตามปกติ แต่สิ่งที่เพิ่มเข้ามา นั่นก็คือ การตั้งค่าปุ่ม Home นั่นเอง อย่างที่กล่าวไว้ในตอนต้นว่า ปุ่ม Home บน iPhone 7 นั้น เป็นปุ่ม Home แบบใหม่ ไม่ใช่ปุ่ม Home แบบกดที่เราคุ้นเคยกันใน iPhone รุ่นก่อน ๆ แต่เป็นปุ่ม Home ที่มาพร้อมกับระบบ Taptic Engine ที่ช่วยทำให้ไวต่อการตอบสนอง และใช้งาน Touch ID ได้แม่นยำมากกว่าเดิม
โดยระบบ Taptic Engine นี้ จะช่วยทำให้มีความรู้สึกว่า เหมือนกับกำลังกดปุ่ม Home ลงไปจริง ๆ คล้าย ๆ กับ TrackPad บน MacBook รุ่นใหม่นั่นเอง นั่นก็คือ ถ้าหากเปิดเครื่องอยู่ จะสามารถกดใช้งานได้เหมือน Trackpad ปกติ แต่ถ้าหากปิดเครื่อง จะไม่สามารถกดลงไปได้ ปุ่ม Home บน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ก็เช่นเดียวกัน ซึ่งผู้ใช้สามารถตั้งค่าการกดได้ 3 ระดับ นั่นก็คือ การแตะ, การกดเบา ๆ และกดหนัก ๆ
ส่วนใครที่สงสัยว่า ถ้าหากปุ่ม Home กดลงไปไม่ได้แบบนี้ จะทำการ Hard Reset อย่างไร ก็ให้กดปุ่ม Power และปุ่มลดเสียงแทน เป็นการทำ Hard Reset บน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ครับ
เรียกได้ว่า ทั้ง iPhone 7 สีดำ Black กับ สีดำเงา Jet Black มีความสวยกันคนละแบบ แต่สำหรับคนที่คิดจะซื้อ iPhone 7 หรือ iPhone 7 Plus สีดำเงา Jet Black ควรจะต้องระวังเรื่องการเป็นรอยง่ายสักหน่อย ซึ่งทาง แอปเปิล เองก็แนะนำให้หาเคสมาใส่เพิ่มด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเครื่องเกิดรอยได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
สำหรับกำหนดการวางจำหน่าย iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในไทย ในตอนนี้ยังไม่มีข้อมูลเผยออกมา ถ้าหากมีความคืบหน้า ทีมงานจะแจ้งให้ทราบกันอีกครั้งครับ - cultofmac.com



ราคา iPhone 7 iPhone 7 Plus เครื่องหิ้ว มาแล้ว! เริ่มต้นที่ 42,000 บาท ด้าน iPhone 7 Plus ราคาพุ่งถึง 72,000 บาท


แม้ว่าในไทยจะยังไม่มีการประกาศ ราคาและวันวางจำหน่าย iPhone 7 กับ iPhone 7 Plus ออกมาในตอนนี้ แต่ล่าสุด ราคา iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เครื่องหิ้ว มาแล้ว! เริ่มต้นที่ 42,000 บาท และสูงสุดอยู่ที่ 72,000 บาท เลยทีเดียว
ราคา iPhone 7 เครื่องหิ้ว
  • iPhone 7 32 GB อยู่ที่ 42,000 บาท
  • iPhone 7 128 GB อยู่ที่ 46,000 บาท
  • iPhone 7 256 GB อยู่ที่ 49,000 บาท

ราคา iPhone 7 Plus เครื่องหิ้ว
  • iPhone 7 Plus 32 GB อยู่ที่ 49,000 บาท
  • iPhone 7 Plus 128 GB อยู่ที่ 59,000 บาท
  • iPhone 7 Plus 256 GB อยู่ที่ 69,000 บาท
โดยราคานี้ เป็นราคาเครื่องหิ้วของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus สีเงิน, สีทอง, สีทองชมพู และสีดำ Blackส่วนสีดำเงา Jet Black จะต้องเพิ่มเงินอีก 3,000 บาท ทำให้ราคา iPhone 7 Plus 256 GB พุ่งไปที่72,000 บาท ส่วน iPhone 7 256 GB อยู่ที่ 52,000 บาท ซึ่งสินค้ามีจำนวนจำกัด บางร้านต้องรอสินค้าในช่วงปลายเดือนกันยายน ส่วนคนที่สั่งจองไว้แล้ว สามารถรับสินค้าได้ในวันที่ 18 กันยายนนี้
อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้สูงว่า ราคา iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เครื่องหิ้ว จะสูงขึ้นมากกว่านี้เนื่องจากทาง แอปเปิล ได้ออกมาประกาศแล้วว่า iPhone 7 Plus ถูกจับจองจนหมดเกลี้ยงทุกสี ส่วน iPhone 7 สีดำเงา Jet Black ก็หมดเช่นกัน ในขณะที่สีอื่น ก็มีจำนวนที่จำกัดอีกด้วย

เผยผลทดสอบ AnTuTu ล่าสุด ขึ้นแท่นมือถือเร็วที่สุดในโลกแล้ว

หลังจากที่ก่อนหน้านี้เรือธงรุ่นพี่อย่าง iPhone 7 Plus ได้ถูกจับทดสอบบนเว็บไซต์ Geekbench และพบว่าเลือกใช้งานหน่วยความ RAM ขนาด 3GB เป็นรุ่นแรกของไอโฟนเป็นที่เรียบร้อย ล่าสุดมีผลการทดสอบ iPhone 7 เรือธงรุ่นเล็ก ซึ่งคราวนี้ทำคะแนนทดสอบประสิทธิภาพไปได้สูงถึง 178,000 คะแนน ขึ้นแท่นสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดในเวลานี้แซงหน้า OnePlus 3 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


เว็บไซต์ Weibo โซเชียลมีเดียรายใหญ่ในประเทศจีน ได้เปิดเผยผลคะแนนการทดสอบประสิทธิภาพและการประมวลผลของ iPhone 7 ที่ถูกทำการทดสอบบน AnTuTu แอปพลิเคชันทดสอบชื่อดัง โดยพบว่าสามารถทำคะแนนไปได้ทั้งหมด 178,397 คะแนน แซงหน้า OnePlus 3 เรือธงที่ใช้ชิปเซ็ต Snapdragon 820 พร้อม RAM ขนาด 6GB เป็นที่เรียบร้อย รวมถึงทำคะแนนได้มากกว่าคู่แข่งอย่าง Samsung Galaxy S7 edge ที่ทำคะแนนประมวลผลได้ประมาณ 130,000 เท่านั้น รวมทั้งยังมากกว่าเรือธงรุ่นปีที่แล้วอย่าง iPhone 6s ที่ทำคะแนนไว้ได้ประมาณ 130,000 คะแนน ซึ่งนับว่า iPhone 7 เป็นสมาร์ทโฟนที่แรงที่สุดในขณะนี้หากพิจารณาผลอันดับการทดสอบของเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
สำหรับ iPhone 7 มาพร้อมกับหน่วยความจำ RAM ขนาด 2GB พร้อมชิปเซ็ตประมวลผล Quad-Core A10 Fusion ตัวใหม่ล่าสุด ซึ่งแบ่งการทำงาน 2 คอร์สำหรับการทำงานด้านประสิทธิภาพ และอีก 2 คอร์สำหรับประหยัดพลังงาน โดยมีความเร็วมากกว่าชิปเซ็ต A9 ที่ใช้บน iPhone 6s ถึง 40% ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่า iPhone 7 Plus เรือธงรุ่นใหญ่จะมีประสิทธิภาพที่แตกต่างมากน้อยเพียงใด - gsmarena.com

เปิดตัวแล้ว iPhone 7 (ไอโฟน 7) และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกล้องคู่แบบ Dual-Camera 12 MP กันน้ำ เพิ่มสีใหม่ สีดำเงา Jet Black และสีดำด้าน Black ในราคาเริ่มต้นประมาณ 23,000 บาท

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในงาน Keynote เมื่อช่วงเที่ยงคืนที่ผ่านมา ซึ่งดีไซน์และคุณสมบัติบางส่วนของทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นั้น ตรงกับข่าวลือที่เผยออกมาก่อนหน้านั้นหลายอย่างเลยทีเดียว โดยทั้ง 2 รุ่นจะมีคุณสมบัติใดน่าสนใจบ้าง และอัปเกรดจากรุ่นเดิมมากน้อยแค่ไหน ทีมงาน techmoblog สรุปไว้ให้แล้ว มาดูกันดีกว่าว่า สเปก และคุณสมบัติต่าง ๆ ของ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มีอะไรกันบ้าง

iPhone 7 Plus มาพร้อมกับกล้องแบบ Dual-Camera ความละเอียด 12 ล้าน
พิกเซล


สำหรับกล้องถ่ายรูปด้านหลังบน iPhone 7 Plus นั้น เป็นกล้องแบบ Dual-Camera ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เลนส์ ได้แก่ เลนส์ Wide 28mm (F/1.8) และเลนส์ Telephoto 56mm (F/2.8) ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล ทั้ง 2 เลนส์ สามารถซูมแบบ Optical ได้ 2 เท่า และซูมแบบ Digital ได้ 10 เท่า นอกจากนี้ ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยี Machine Learning แยกฉากหลังออกจากฉากหน้า ทำให้สามารถถ่ายภาพบุคคลแบบหน้าชัดหลังเบลอได้ ซึ่งปกติภาพแบบนี้จะได้จากกล้องแบบ DSLR เท่านั้น
ส่วน iPhone 7 มาพร้อมกับกล้องแบบ Single-Camera ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล และมีคุณสมบัติในด้านอื่น ๆ เหมือนกัน นั่นก็คือ รูรับแสงกว้างสูงสุด F/1.8, ไฟแฟลชแบบ Quad-LED (ไฟแฟลช 4 ดวง) สว่างกว่าเดิม 50%, กล้องด้านหน้า ความละเอียด 7 ล้านพิกเซล รูรับแสง F/2.2 (อัปเกรดจาก 5 ล้านพิกเซลบน iPhone 6S และ iPhone 6S Plus) และมีระบบกันสั่นแบบ OIS ทั้งบน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus

เพิ่มคุณสมบัติในการกันน้ำ กันฝุ่น


iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับคุณสมบัติด้านการกันน้ำ กันฝุ่น ตามมาตรฐาน IP67 สามารถอยู่ในน้ำลึก 1 เมตรได้นาน 30 นาที โดยเป็น iPhone รุ่นแรกที่มีคุณสมบัติดังกล่าว

ชิปเซ็ต Apple A10 Fusion แบบ Quad-Core Processor


ทั้ง iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับชิปเซ็ต 64-bit Apple A10 Fusion แบบ Quad-Core Processor และ M10 Motion Coprocessor ซึ่งประมวลผลได้เร็วกว่าชิปเซ็ต Apple A9 บน iPhone 6S และ iPhone 6S Plus ถึง 40%, เร็วกว่าชิปเซ็ต Apple A8 ถึง 2 เท่า ส่วนชิปประมวลผลกราฟิก เป็นแบบ Six-Core Processor เร็วกว่าบน Apple A9 ถึง 50%
นอกจากนี้ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ยังรองรับเครือข่าย LTE มากถึง 25 ความถี่ พร้อมเทคโนโลยี LTE Advanced สามารถถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วกว่า iPhone 6 ถึง 3 เท่า สูงสุดที่ 450 Mbps

หน้าจอขนาดเท่าเดิม แต่เพิ่มความสว่างขึ้นอีก 25%


iPhone 7 มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 4.7 นิ้ว ความละเอียด 1334 x 750 พิกเซล ส่วน iPhone 7 Plus มาพร้อมกับหน้าจอขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1920 x 1080 พิกฌซล แต่ปรับความสว่างของเทคโนโลยีแบบ Retina Display เพิ่มขึ้นอีก 25%

ปุ่ม Home แบบ 3D Touch 


นอกจากเทคโนโลยี 3D Touch จะอยู่บนหน้าจอแล้ว iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ยังมาพร้อมกับปุ่ม Home แบบ 3D Touch ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีความแข็งแรงทนทานกว่าเดิม และตอบสนองได้อย่างรวดเร็วทันใจ

ตัดขนาดความจุ 16 GB ออก เริ่มต้นที่ 32 GB แล้ว
นับว่าเป็นข่าวดีมากเลยทีเดียว เมื่อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับขนาดความจุเริ่มต้นที่ 32 GB แล้ว และตัดรุ่นขนาดความจุ 16 GB ออก โดยมีให้เลือก 3 ขนาดความจุด้วยกัน ได้แก่ 32 GB, 128 GB และ 256 GB

ตัดช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออกแล้ว


ตรงตามข่าวลือ เมื่อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ตัดช่องหูฟังขนาด 3.5 มิลลิเมตรออกแล้ว ส่วนหูฟัง EarPods นั้น เป็นพอร์ตแบบ Lightning แทน แต่ถ้าหากมีหูฟังแบบปกติ สามารถใช้ Adapter ตัวแปลงพอร์ต 3.5 mm to Lightning ได้ ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดนี้ แถมมาให้ในกล่องแพ็กเกจ

AirPods หูฟังไร้สายสุดล้ำ


สำหรับ AirPods หูฟังไร้สายรุ่นใหม่นี้ มาพร้อมกับชิปเซ็ต Apple W1 ด้วย Dual Optical Sensor และ Accelerometer Sensor จะทำหน้าที่ตรวจจับตัวตำแหน่งของ AirPods เมื่ออยู่ในหู เสียงเพลงก็จะดังขึ้น และหยุดเล่นเมื่อมีการถอดออกทั้ง 2 ข้าง หรือข้างเดียว และจะกลับมาเล่นเพลงให้อัตโนมัติเมื่อใส่กลับไปใหม่ นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ Apple ได้โดยไม่ต้องมีสวิตช์ หรือปุ่มกด เชื่อมต่อกับ Siri ด้วยการแตะ 2 ครั้ง
และด้วยคุณสมบัติของชิปเซ็ต Apple W1 บน AirPods ซึ่งใช้พลังงานน้อยมาก ทำให้สามารถใช้งานได้ยาวนาน 5 ชั่วโมงต่อการชาร์จ 1 ครั้ง โดย AirPods จะมีการวางจำหน่ายในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

ลำโพงเสียงแบบสเตอริโอ ดังกว่าเดิม 2 เท่า
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มาพร้อมกับลำโพงแบบสเตอริโอ ให้กำลังเสียงดังกว่า iPhone 6S ถึง 2 เท่า ทำให้มีช่วงไดนามิกของเสียงที่กว้างขึ้นและ Speaker Phone คุณภาพเสียงดีกว่าเดิม

แบตเตอรี่ใช้ได้นานกว่าเดิม


ถึงแม้ภายในงาน จะไม่ได้มีการระบุถึงขนาดความจุแบตเตอรี่บน iPhone 7 และ iPhone 7 Plus แต่ได้มีการเผยรายละเอียดว่า แบตเตอรี่บน iPhone 7 สามารถใช้งานได้นานกว่าบน iPhone 6S ถึง 2 ชั่วโมง ส่วนแบตเตอรี่บน iPhone 7 Plus ใช้งานได้นานกว่าบน iPhone 6S Plus 1 ชั่วโมง

ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 10
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ทำงานบนระบบปฏิบัติการ iOS 10 ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์ล้ำ ๆ มากมาย (อ่านฟีเจอร์ของ iOS 10 ต่อได้ที่นี่) โดย iOS 10 จะเปิดให้ดาวน์โหลดอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 กันยายนนี้

เพิ่มสีใหม่ สีดำเงา (Jet Black) และสีดำด้าน (Black)


สำหรับคนที่ชอบสีดำน่าจะถูกใจเป็นพิเศษ เมื่อ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus นั้น เพิ่มสีใหม่ นั่นก็คือ สีดำ โดยแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ สีดำเงา (Jet Black) และสีดำด้าน (Black) ทำให้ iPhone 7 และ iPhone 7 Plus มีให้เลือกทั้งหมด 5 สีด้วยกัน ได้แก่ Silver, Gold, Rose Gold, Black และ Jet Black ซึ่งรุ่นสีดำเงา Jet Black นั้น มีให้เลือกเฉพาะขนาดความจุ 128 GB และ 256 GB เท่านั้น

ราคา iPhone 7 และ iPhone 7 Plus
ราคา iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในสหรัฐฯ เป็นดังนี้
  • iPhone 7 ขนาด 32 GB ราคา $649
  • iPhone 7 ขนาด 128 GB ราคา $749
  • iPhone 7 ขนาด 256 GB ราคา $849
  • iPhone 7 Plus ขนาด 32 GB ราคา $769
  • iPhone 7 Plus ขนาด 128 GB ราคา $869
  • iPhone 7 Plus ขนาด 256 GB ราคา $969
สำหรับราคา iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในไทย ตอนนี้ยังไม่มีการประกาศราคาออกมาเช่นกัน แต่ถ้าหากเปรียบเทียบกับราคา iPhone 6S ตอนเปิดตัว ถือว่า มีราคาเท่ากันอยู่ที่ $649 นั่นหมายความว่า มีความเป็นไปได้สูงที่ ราคา iPhone 7 ในไทย จะเริ่มต้นที่เท่าเดิม นั่นก็คือ 26,500 - 27,000 บาท
ส่วนราคา iPhone 7 Plus เมื่อเทียบกับ iPhone 6S Plus ตอนเปิดตัว ซึ่งอยู่ที่ $749 ถือว่า iPhone 7 Plus มีราคาแพงขึ้น $20 โดยราคา iPhone 6S Plus ในไทยตอนเปิดตัวอยู่ที่ 30,500 บาท ฉะนั้น มีความเป็นไปได้ที่ ราคา iPhone 7 Plus ในไทย อาจจะแตะราคาเริ่มต้นที่ 31,000 - 31,500 บาทได้ ทั้งนี้อยู่ที่ความผันผวนของราคาค่าเงินในช่วงเวลาที่จะวางจำหน่ายด้วยเช่นกัน

iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เปิดพรีออเดอร์ 9 กันยายน จำหน่าย 16 กันยายนนี้ (ยังไม่มีไทย)
iPhone 7 และ iPhone 7 Plus เปิดพรีออเดอร์ในวันที่ 9 กันยายนนี้ และวางจำหน่ายรอบแรก ในวันศุกร์ที่ 16 กันยายน 2016 ในประเทศออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยียม, แคนาดา, จีน, เดนมาร์ก, ฟินแลนด์, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, ฮ่องกง, ไอร์แลนด์, อิตาลี, ญี่ปุ่น, ลักเซมเบิร์ก, เม็กซิโก, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, นอร์เวย์, โปรตุเกส, เปอร์โตริโก, สิงคโปร์, สเปน, สวีเดน, สวิตเซอร์แลนด์, ไต้หวัน, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, สหราชอาณาจักร, หมู่เกาะเวอร์จินของสหรัฐอเมริกา และสหรัฐอเมริกา
ส่วนกำหนดการวางจำหน่ายรอบที่ 2 คือวันที่ 23 กันยายน 2016 ในประเทศอันดอร์รา, บาห์เรน, บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา, บัลแกเรีย, โครเอเชีย, ไซปรัส, สาธารณรัฐเช็ก, เอสโตเนีย, กรีซ, กรีนแลนด์, เกิร์นซีย์, ฮังการี, ไอซ์แลนด์, เกาะแมน, เจอร์ซีย์, คอซอวอ, คูเวต, ลัตเวีย, ลิกเตนสไตน์, ลิทัวเนีย, มัลดีฟส์, มอลตา, โมนาโก, โปแลนด์, กาตาร์, โรมาเนีย, รัสเซีย, ซาอุดิอาระเบีย, สโลวาเกีย และสโลวีเนีย ส่วนในประเทศอินเดีย วางจำหน่ายวันที่ 7 ตุลาคม 2016
สำหรับกำหนดการวางจำหน่าย iPhone 7 และ iPhone 7 Plus ในไทย ตอนนี้ยังไม่มีการประกาศออกมา แต่คาดว่า น่าจะอยู่ในช่วงปลายเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยทีมงาน techmoblog จะอัปเดตความเคลื่อนไหวให้ทราบกันเป็นระยะ สามารถติดตามได้ที่นี่ครับ